fb pixel
Line facebook instagram linkedin

วันอังคาร - อาทิตย์ 10:00 - 19:00
ติดต่อ 064 196 3539

ก่อนใช้ยา Finasteride เพื่อรักษาผมร่วงต้องรู้อะไรบ้าง ?

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาผมบางหรือผมร่วง ‘Finasteride’ คือชื่อยาที่ควรต้องรู้จัก เพราะยาชนิดนี้เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับการรักษาอาการผมบางในผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ารู้แล้วจะไปหามารับประทานเองได้เลย เพราะอาจเกิดอันตรายและอาจไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดหวัง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย จึงควรมีความรู้เกี่ยวกับยา Finasteride อย่างถูกต้อง ตั้งแต่กลไกการทำงาน ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง ไปจนถึงข้อควรระวังต่าง ๆ

Finasteride คืออะไร ?

Finasteride คือยาที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับรักษาภาวะผมบางแบบพันธุกรรมในผู้ชาย โดยสรรพคุณของยา Finasteride จะมุ่งเน้นไปที่การยับยั้งเอนไซม์ 5-alpha reductase ซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ให้กลายเป็นไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการหดตัวของรูขุมขน ส่งผลต่อการร่วงของเส้นผม

ยา Finasteride ถูกค้นพบและพัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยบริษัท Merck & Co. เดิมทีนั้น ยาชนิดนี้ถูกใช้เพื่อรักษาภาวะต่อมลูกหมากโต แต่ในระหว่างการทดลองทางคลินิก นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ใช้ยานี้มีการเจริญเติบโตของเส้นผมที่ดีขึ้น จึงนำไปสู่การพัฒนาเป็นยารักษาอาการผมบางในเวลาต่อมา

วิธีการทำงานของ Finasteride

ฮอร์โมน DHT เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะผมบางแบบพันธุกรรม เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีความสามารถในการจับกับตัวรับ (Receptor) บนรูขุมขน ส่งผลให้ขนาดของรูขุมขนค่อย ๆ เล็กลง จนผมไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และต่อเนื่องจนเส้นผมบางลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งรูขุมขนปิดและไม่สามารถสร้างเส้นผมใหม่ได้

เมื่อยา Finasteride เข้าสู่ร่างกาย จะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5-alpha reductase ประเภทที่ 2 ซึ่งพบมากในหนังศีรษะ ต่อมลูกหมาก และอวัยวะสืบพันธุ์ ผลลัพธ์ของการยับยั้งนี้จะทำให้ปริมาณ DHT ในร่างกายลดลงถึงประมาณ 70% ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอจะชะลอหรือหยุดกระบวนการผมร่วงในผู้ชายส่วนใหญ่ได้

การใช้ยา Finasteride

ยา Finasteride กินตอนไหน ? โดยทั่วไปยาชนิดนี้มักถูกสั่งจ่ายในรูปแบบยาเม็ดรับประทานขนาด 1 มิลลิกรัมต่อวัน และใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ผู้ใช้ยาควรทราบว่าการใช้ยา Finasteride ต้องอดทนและใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลชัดเจนหลังจากใช้ยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3-6 เดือน และผลลัพธ์สูงสุดมักเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาไปแล้ว 1-2 ปี นอกจากนี้ หากหยุดใช้ยา ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยๆ หายไปภายในระยะเวลาประมาณ 12 เดือน

ผู้ชายที่ประสบปัญหาผมบางและจำเป็นต้องใช้ยา Finasteride

ประโยชน์ของการใช้ Finasteride

  • ลดการหลุดร่วงของเส้นผม: ผลลัพธ์แรกที่เห็นได้ชัดคือการหลุดร่วงของเส้นผมจะเริ่มลดลงอย่างชัดเจนภายใน 3 เดือนแรก
  • ช่วยให้เส้นผมหนาขึ้น: การลดระดับ DHT ในรูขุมขนจะช่วยให้รูขุมขนกลับมาเจริญเติบโตได้ตามปกติ ทำให้เส้นผมหนาขึ้นและมีขนาดใหญ่กว่าเดิม
  • ผลลัพธ์ระยะยาว: เมื่อใช้ยา Finasteride อย่างต่อเนื่องในระยะยาว รูขุมขนที่เคยหยุดทำงานก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง ทำให้เห็นเส้นผมใหม่งอกขึ้นมาในบริเวณที่เคยล้านหรือบาง
  • ลดความเสี่ยงต่อมลูกหมากโตและมะเร็งต่อมลูกหมาก: เนื่องจากยา Finasterideช่วยลดระดับ DHT ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย ดังนั้น การใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องจึงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้

Finasteride มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง ?

  • ปัญหาสมรรถภาพทางเพศ: เนื่องจาก Finasteride ทำงานเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศชาย ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ เช่น การลดลงของความต้องการทางเพศ (Libido) การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) หรือการหลั่งน้ำอสุจิที่ผิดปกติ
  • ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล: ผู้ใช้บางรายอาจเกิดความรู้สึกซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเกิดภาวะอารมณ์ไม่คงที่
  • ผื่นแพ้ผิวหนัง: ในบางกรณีอาจเกิดอาการแพ้เช่น ผื่นคัน ลมพิษ หรือผิวหนังอักเสบ
  • อาการเต้านมโตในผู้ชาย (Gynecomastia): บางกรณีพบว่ายา Finasteride อาจทำให้เกิดการพัฒนาของเนื้อเยื่อเต้านมในผู้ชาย ซึ่งทำให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีความไวต่อความเจ็บปวดกว่าเดิม

*ข้อควรระวัง หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรหยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์ทันที

เมื่อใดที่ควรหยุดใช้ Finasteride ?

การใช้ยา Finasteride อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน ดังนั้นการสังเกตถึงผลข้างเคียงของยาจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณพบอาการดังต่อไปนี้ ควรพิจารณาหยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์ทันที

  • ผลข้างเคียงที่รุนแรง: หากมีอาการผลข้างเคียงเช่น การลดลงของสมรรถภาพทางเพศที่ต่อเนื่อง อาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง หรืออาการเต้านมโตในผู้ชาย ควรแจ้งให้แพทย์รู้ทันที
  • ไม่มีผลลัพธ์ที่ต้องการภายใน 1 ปี: หากใช้ยา Finasteride มาเป็นเวลานานถึง 12 เดือนแล้ว แต่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในการเจริญเติบโตของเส้นผม อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณไม่ตอบสนองต่อการรักษา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมอื่น ๆ
  • วางแผนมีบุตร: เนื่องจากยา Finasteride อาจมีผลข้างเคียงต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชาย หลายคนเลือกที่จะหยุดใช้ยานี้หากพวกเขากำลังวางแผนจะมีบุตร เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเจริญพันธุ์
  • แพทย์ปรับการรักษาด้วยวิธีอื่น: หากแพทย์พบว่ามีวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แพทย์อาจให้หยุดการใช้ยา Finasteride และเปลี่ยนไปใช้วิธีรักษาใหม่ ๆ

การหยุดใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ทางเลือกอื่นนอกจาก Finasteride

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยา Finasteride หรือกังวลเรื่องผลข้างเคียง ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ ที่สามารถบรรเทารักษาอาการผมร่วงผมบางได้ เช่น

  1. Minoxidil (Rogaine): ยาอีกชนิดที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในการรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ มีลักษณะเป็นสารละลายหรือโฟมที่ทาลงบนหนังศีรษะโดยตรง และทำงานโดยการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่รูขุมขน ช่วยให้ผมงอกใหม่แข็งแรงขึ้น
  2. แชมพูยา (Ketoconazole 2%): เป็นแชมพูที่ช่วยลดการผลิตฮอร์โมน DHT ที่หนังศีรษะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะผมร่วง รวมถึงมีคุณสมบัติต้านเชื้อรา
  3. การปลูกผม (Hair Transplant): เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านในระยะรุนแรง การปลูกผมจะใช้เส้นผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกในบริเวณที่บาง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถาวร
  4. เลเซอร์บำบัด (Laser Therapy): การใช้แสงเลเซอร์ความเข้มต่ำเพื่อกระตุ้นการทำงานของรูขุมขนและลดการหลุดร่วงของเส้นผม
  5. การฉีด PRP (Platelet Rich Plasma): PRP เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาผ่านกระบวนการเพื่อแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น แล้วฉีดกลับเข้าไปในบริเวณหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
  6. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต: เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, การลดความเครียด, การนอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงการดูแลหนังศีรษะให้สะอาดอยู่เสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยรักษาสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะได้

จริงอยู่ที่การใช้ยา Finasteride คือหนึ่งในทางเลือกสำหรับแก้ปัญหาผมร่วงผมบาง แต่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์กับทุกคน ดังนั้น ถ้าอยากรักษาปัญหาผมร่วงผมบางอย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้มาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางของเราได้ที่ Bangkok Hair Clinic คลินิกปลูกผมและรักษาผมบางระดับพรีเมียม ที่พร้อมให้บริการปลูกผม FUE ในราคาที่คุ้มคุณภาพ มีการวางแผนการรักษาอย่างมืออาชีพ ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีอันทันสมัยครบครัน

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายปรึกษา ติดต่อเราได้ผ่านช่องทางด้านล่างนี้

Line : @bangkokhairclinic (มี @ ด้วย)
โทร : 02 118 7386, 064 196 3539
อีเมล : bangkokhairclinic@gmail.com

ข้อมูลอ้างอิง

  1. ยาฟีนาสเตอไรด์ (finasteride). สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567. จาก https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/HpH/admin/download_files/154_49_183Oc2Q.pdf
  2. Finasteride – Uses, Side Effects, and More. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567. จาก https://www.webmd.com/drugs/2/drug-1548-167/finasteride-oral/finasteride-oral/details
lineline messagemessage callcall