เคลียร์ชัด! DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหนดีถึงตอบโจทย์ได้มากกว่า
เคยไหม? อยากปลูกผมให้เห็นผลไว แต่ไม่รู้ว่าการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง ราคาเท่าไหร่ หรือต้องปลูกผมนานกี่เดือนขึ้นกันแน่ หากใครสงสัยอยู่ เรามีคำตอบ
เคยไหม? อยากปลูกผมให้เห็นผลไว แต่ไม่รู้ว่าการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง ราคาเท่าไหร่ หรือต้องปลูกผมนานกี่เดือนขึ้นกันแน่ หากใครสงสัยอยู่ เรามีคำตอบ
เมื่อพูดถึงความมั่นใจของแต่ละคน เชื่อเถอะว่า ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกาย และความเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น แต่ “เรื่องเส้นผม” ก็จัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจได้ไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับพันธุกรรมที่มีติดตัว แน่นอนว่าปัญหาอย่าง ผมบาง ผมอ่อนแอ ผมร่วง รวมไปถึงปัญหาศีรษะล้านก็ได้กลายเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนต้องหมดความมั่นใจไป
แต่ก่อนที่จะเครียดจนผมร่วงมากกว่าเดิม รู้หรือไม่? “การปลูกผม” อย่างการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI เองก็ถือเป็นอีกทางเลือกดีๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนได้โบกมือลาสารพัดปัญหาเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยปรับลุคได้ทุกเพศ และเพิ่มความมั่นใจได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย และเมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆ คนก็อาจเริ่มเกิดความสงสัยแล้วว่า จริงๆ แล้ว การปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง ต้องใช้เวลาปลูกผมนานกี่เดือนขึ้น หรือบางคนก็อาจสงสัยเพิ่มเติมว่าปลูกผมพักฟื้นกี่วันกันแน่ ซึ่งหากใครกำลังสงสัยเช่นนี้อยู่ วันนี้ Bangkok Hair Clinic มีคำตอบ!
แต่ก่อนที่จะตอบได้ว่าการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง จะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่าการปลูกผมแบบ DHI ดีกว่า FUE จริงไหม ซึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมแล้ว เราควรต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การปลูกผมแต่ละแบบเป็นอย่างไร มีข้อดี และข้อควรระวังแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยเรามาเริ่มกันที่การปลูกแบบ DHI กันก่อนเลย
การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) คือ วิธีการปลูกผมถาวรรูปแบบหนึ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเจาะนำเอากราฟต์ หรือ กอผม 1 – 4 เส้นจากหลังศีรษะ หรือ Donor Area มาเพื่อปักเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า DHI Implanter โดยการปลูกผมวิธีนี้แพทย์จะปลูกและปักผมได้ทีละเส้นได้ในครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาปลูก และปักแยกกัน อีกทั้งยังลดปัญหารากและเส้นผมเสียหายจากการปลูกอีกด้วย
DHI เป็นวิธีปลูกผมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอพักฟื้นหลังปลูกผม 7 วันเหมือนที่หลาย ๆ คนเข้าใจ อีกทั้งคนไข้บางรายยังสามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันทีเนื่องจากการปลูกผมวิธีนี้จะไม่มีการผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นนาน และมีแผลขนาดเพียง 0.5 – 0.9 มิลลิเมตรหลังทำเท่านั้น ที่สำคัญ เมื่อทำการปลูกผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และดูไม่แปลกตาเนื่องจากในขณะที่ลงมือทำ แพทย์จะเป็นคนควบคุมทิศทาง กำหนดมุมและความลึกของเส้นผมได้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ดี การปลูกผมแบบ DHI นั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่มีปัญหาผมบางมากๆ จนหมดความมั่นใจ ซึ่งหากมีปัญหาศีรษะล้านในกรณีที่ไม่มีเส้นผมเลย แพทย์ส่วนใหญ่อาจแนะนำวิธีการปลูกผมอื่นๆ หรือมีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทานยาควบคู่ หรือการใช้วิธีปลูกผมแบบผสมผสาน เป็นต้น
เมื่อรู้จักการปลูกผมแบบ DHI ไปแล้ว หลายๆ คนก็คงอยากทราบแล้วว่า การปลูกผมแบบ FUE กับ DHI แตกต่างกันยังไง หรือยังสงสัยว่าระหว่าง DHI vs FUE ควรปลูกผมวิธีไหนดีกันแน่ แต่ก่อนที่เราจะได้คำตอบกับคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องมาทำความเข้าใจกันต่อว่า แท้จริงแล้วการปลูกผมแบบ FUE คืออะไรกันแน่
การปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Excision) คือ เทคนิคที่แพทย์จะทำการเจาะกราฟต์จากหลังศีรษะ หรือ Donor Area ออกมาทีละกอเหมือนกับ DHI แต่แทนที่จะใช้ DHI Implanter ในการปักและปลูกผม แพทย์จะทำการเจาะรูที่หนังศีรษะไว้ก่อนโดยใช้เข็มเจาะ จากนั้นจึงใช้คีมปลายแหลม หรือ Forceps 2 อัน ซึ่งอันนึงจะทำหน้าที่เปิดรูบนหนังศีรษะที่เจาะเอาไว้ และคีมอีกอันจะคีบผมแต่ละเส้นที่มีเซลล์รากผมที่ได้จาก Donor Area มาปักไปเข้าไปในรูที่คีมอีกอันเปิดเอาไว้
หลายๆ คนอาจสงสัยว่าเมื่อเทียบการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI แล้ววิธีไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากเรื่องความพึงพอใจของแต่ละบุคคลแล้ว การปลูกทั้ง 2 แบบยังมีข้อดีและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน โดยการปลูกผมแบบ FUE นั้นสามารถให้ผลลัพธ์ และมีเปอร์เซ็นต์การงอกที่สูงกว่า 90% เลยทีเดียว แถมยังมีแผลที่เล็กมากๆ ตั้งแต่ 0.7 – 1 มิลลิเมตรจึงทำให้สามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันที ไม่ต้องรอพักฟื้นหลังปลูกผม 7 วันเหมือนวิธีแบบเก่าอย่าง FUT อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปลูกผมบริเวณอื่นๆ ได้ อาทิ คิ้ว เครา หนวด และจอน เป็นต้น นอกจากนี้ การปลูกผมแบบ FUE ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านอีกด้วย
แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อควรระวังเช่นกัน เพราะถึงการปลูกผมแบบ FUE จะให้ผลลัพธ์การงอกที่สูงกว่า 90% แต่อย่างไรก็ดี หากแพทย์ที่รักษาไม่มีความชำนาญมากพอ โอกาสที่ผมจะขึ้นก็อาจน้อยมากกว่า 60% ได้เนื่องจากการรักษาแบบ FUE นั้นจะเป็นการใช้คีมปากแหลม หรือ Forceps เป็นหลัก ซึ่งหากแพทย์ไม่มีความระมัดระวัง เส้นผมและเซลล์รากผมก็อาจบอบช้ำ มีโอกาสรอดน้อย และทำให้ปลูกผมไม่ขึ้นเช่นกัน
จากทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า การปลูกผม FUE กับ DHI นั้นจะเหมือนกันในเรื่องของขนาดแผลที่เล็กมากๆ จนแทบจะสามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันที อีกทั้งยังมีเวลาพักฟื้นที่ไม่นาน ซึ่งคนไข้บางรายสามารถไปทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันต่อได้หลังจากที่ทำเสร็จอีกด้วย
นอกจากนี้ หากใครสงสัยอยู่ว่า FUE กับ DHI เป็นการปลูกผมที่ใช้เวลานานกี่เดือนขึ้นนั้น Bangkok Hair Clinic ขอตอบว่า การปลูกผมทั้ง 2 แบบนั้นให้ผลลัพธ์ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผ่านไป 1 – 2 เดือน ผมที่ปลูกจากทั้ง 2 วิธีก็จะค่อยๆ ร่วงลงไป และจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ในช่วงเดือนที่ 3 และ 4 จากนั้นเมื่อครบ 1 ปี ผมที่ปลูกจากทั้ง 2 วิธีก็จะค่อยๆ ยาว และขึ้น 100% อย่างต่อเนื่อง
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนคงอาจเริ่มมีคำถามว่า หากเทียบ DHI vs FUE แล้ว ราคาการรักษาจะแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนบ้าง ซึ่งถึงแต่ละคลินิกจะมีค่าบริการที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว การปลูกผมแบบ DHI จะมีราคาที่สูงกว่าเนื่องจากต้องใช้ DHI Implanter และความชำนาญของแพทย์ที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากคนไข้มีปัญหาผมบาง และศีรษะล้านมากกว่าที่จะใช้ DHI ได้ ในบางกรณีการปลูกผมแบบ FUE จึงอาจมีราคาที่สูงกว่าได้เช่นกัน
ซึ่งหากใครยังไม่แน่ใจว่า FUE กับ DHI ต่างกันยังไง และไม่รู้จะเลือกวิธีปลูกผมแบบไหนดี Bangkok Hair Clinic ขอเทียบความแตกต่างของทั้ง 2 วิธีให้เห็นภาพ ดังนี้
ความแตกต่าง | DHI | FUE |
---|---|---|
เหมาะสำหรับใคร | ผู้มีปัญหาผมบาง และศีรษะล้านน้อยถึงปานกลาง | ผู้มีปัญหาผมบาง และศีรษะล้านมาก |
ปลูกผมนานกี่เดือนขึ้น | ผมใหม่ขึ้น 100% ในช่วงเวลา 1 – 2 ปี | |
เครื่องมือที่ใช้ | DHI Implanter | คีมปลายแหลม หรือ Forceps |
ข้อดี |
|
|
ข้อควรระวัง |
|
|
จบลงไปแล้วกับรายละเอียดทั้งหมดของการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI หวังว่าข้อมูลที่ Bangkok Hair Clinic นำมาฝากนี้จะช่วยให้ทุกคนหมดข้อสงสัยว่า FUE กับ DHI ต่างกันยังไง และสามารถเลือกใช้วิธีการปลูกผมที่เหมาะและตรงกับความต้องการของตัวเองได้ แต่หากใครยังไม่แน่ใจว่าปัญหาผมและหนังศีรษะของตัวเองต้องใช้วิธีไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มีปัญหาเส้นผม ปรึกษาแพทย์ฟรีที่ Bangkok Hair Clinic E-mail: bangkokhairclinic@gmail.com หรือติดต่อเราช่องทางอื่น ๆ