fb pixel
Line facebook instagram linkedin

วันอังคาร - อาทิตย์ 10:00 - 19:00
ติดต่อ 064 196 3539

สรุปให้ ! DHI vs FUE ควรปลูกผมวิธีไหนดีถึงตอบโจทย์มากกว่า ?

เคยไหม? อยากปลูกผมให้เห็นผลไว แต่ไม่รู้ว่าการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง ราคาเท่าไหร่ หรือต้องปลูกผมนานกี่เดือนขึ้นกันแน่ หากใครสงสัยอยู่ เรามีคำตอบ

กระบวนการปลูกผมโดยแพทย์

เมื่อพูดถึง ‘ความมั่นใจ’ หลายคนอาจนึกถึงเรื่องของการแต่งหน้า หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องของเส้นผม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจได้ไม่แพ้กัน แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับพันธุกรรมที่มีติดตัว ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับปัญหาอย่าง ผมบาง ผมอ่อนแอ ผมร่วง รวมไปถึงปัญหาศีรษะล้าน ที่ได้กลายเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้สูญเสียความมั่นใจ 

ก่อนจะปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดเครียดจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพเส้นผมมากยิ่งขึ้น มาทำความรู้จักกับ “การปลูกผม” ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเทคนิคการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ยังช่วยปรับลุค พร้อมช่วยเสริมความมั่นใจ แล้วการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง ต้องใช้เวลาปลูกผมนานกี่เดือนขึ้น หรือบางคนอาจสงสัยว่าปลูกผมพักฟื้นกี่วันกันแน่ Bangkok Hair Clinic ได้รวบรวมคำตอบมาใว้ให้ครบแล้ว

รู้จักการปลูกผมแบบ DHI

ก่อนที่จะตอบได้ว่าการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง หรือที่เขาว่ากันว่าการปลูกผมแบบ DHI ดีกว่า FUE จริงไหม ? จำเป็นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า การปลูกผมแต่ละแบบเป็นอย่างไร มีข้อดีและข้อควรระวังอะไรบ้าง โดยมาเริ่มกันที่การปลูกแบบ DHI กันก่อนเลย

การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) คือวิธีการปลูกผมถาวรรูปแบบหนึ่งที่แพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมและหนังศีรษะจะเจาะนำเอากราฟต์ หรือกอผม 1 – 4 เส้นจากหลังศีรษะ หรือ Donor Area มาเพื่อปักเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า DHI Implanter ซึ่งจะเป็นการปลูกและปักผมในครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาปลูกและปักแยกกัน อีกทั้งยังลดปัญหารากและเส้นผมเสียหายจากการปลูกอีกด้วย

ข้อดี และ ข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ DHI

DHI เป็นวิธีปลูกผมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอพักฟื้นหลังปลูกผม 7 วันเหมือนที่หลายคนเข้าใจ อีกทั้งคนไข้บางรายยังสามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันที เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่มีการผ่าตัด ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นนาน โดยมีแผลขนาดเพียง 0.5 – 0.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ที่สำคัญ เมื่อทำการปลูกผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังให้ผลลัพธ์ที่กลมกลืนกับผมจริงและดูไม่แปลกตา เนื่องจากในขณะที่ลงมือทำ แพทย์จะสามารถควบคุมทิศทาง กำหนดมุมและความลึกของเส้นผมได้

แต่อย่างไรก็ดี การปลูกผมแบบ DHI เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่มีปัญหาผมบางมาก จนทำให้หมดความมั่นใจ ซึ่งหากมีปัญหาศีรษะล้านในกรณีที่ไม่มีเส้นผมเลย แพทย์ส่วนใหญ่อาจแนะนำวิธีการปลูกผมอื่น หรือมีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทานยาควบคู่ หรือการใช้วิธีปลูกผมแบบผสมผสาน

รู้จักการปลูกผมแบบ FUE

เมื่อรู้จักการปลูกผมแบบ DHI ไปแล้ว หลายคนก็คงอยากทราบแล้วว่าสรุปแล้วระหว่าง DHI vs FUE ควรปลูกผมวิธีไหนดีกันแน่ ซึ่งก่อนที่เราจะได้คำตอบกับคำถามเหล่านี้ได้ จะต้องมาทำความรู้จักการปลูกผมแบบ FUE ให้มากขึ้น

การปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Excision) คือเทคนิคที่แพทย์จะทำการเจาะกราฟต์จากหลังศีรษะ หรือ Donor Area ออกมาทีละกอเหมือนกับ DHI แต่แทนที่จะใช้ DHI Implanter ในการปักและปลูกผม แพทย์จะทำการเจาะรูที่หนังศีรษะไว้ก่อนโดยใช้เข็มเจาะ จากนั้นจึงใช้คีมปลายแหลม หรือ Forceps 2 อัน ซึ่งอันนึงจะทำหน้าที่เปิดรูบนหนังศีรษะที่เจาะเอาไว้ ส่วนคีมอีกอันจะคีบผมแต่ละเส้นที่มีเซลล์รากผมที่ได้จาก Donor Area เพื่อปักเข้าไปในรูที่คีมอีกอันเปิดเอาไว้ 

ข้อดี และ ข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ FUE

การปลูกผมแบบ FUE นั้นสามารถให้ผลลัพธ์ และมีเปอร์เซ็นต์การงอกที่สูงกว่า 90% อีกทั้งยังมีแผลที่เล็กมาก ตั้งแต่ 0.7 – 1 มิลลิเมตร จึงทำให้สามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันที โดยไม่ต้องรอพักฟื้นหลังปลูกผม 7 วันเหมือนวิธีแบบเก่าอย่าง FUT อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปลูกผมบริเวณอื่น ทั้งบริเวณ คิ้ว เครา หนวด จอน นอกจากนี้ ยังเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านอีกด้วย

แต่นอกจากข้อดีก็ยังมีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน เพราะถึงการปลูกผมแบบ FUE จะให้ผลลัพธ์การงอกที่สูงกว่า 90% แต่หากแพทย์ที่รักษาไม่มีประสบการณ์มากพอ โอกาสที่ผมจะขึ้นก็อาจน้อยมากกว่า 60% เนื่องจากการรักษาแบบ FUE นั้นจะเป็นการใช้คีมปากแหลม หรือ Forceps เป็นหลัก ซึ่งหากแพทย์ไม่มีความระมัดระวัง เส้นผมและเซลล์รากผมก็อาจบอบช้ำ ส่งผลให้มีโอกาสรอดน้อยและทำให้ปลูกผมไม่ขึ้นได้ 

สรุปแล้วการปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง?

จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า การปลูกผม FUE กับ DHI จะเหมือนกันในเรื่องของขนาดแผลที่เล็กมากจนแทบจะสามารถสระผมหลังปลูกผมได้ทันที อีกทั้งยังมีเวลาพักฟื้นไม่นาน ซึ่งคนไข้บางรายสามารถไปทำงานและใช้ชีวิตประจำวันต่อได้หลังจากที่ทำเสร็จอีกด้วย

นอกจากนี้ หากใครสงสัยอยู่ว่า การปลูกผม FUE กับ DHI ต้องใช้เวลานานกี่เดือนขึ้นไป Bangkok Hair Clinic ขอตอบว่า การปลูกผมทั้ง 2 แบบนั้นให้ผลลัพธ์ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผ่านไป 1 – 2 เดือน ผมที่ปลูกจากทั้ง 2 วิธีก็จะค่อย ๆ ร่วง และจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ในช่วงเดือนที่ 3 และ 4 จากนั้นเมื่อครบ 1 ปี ผมที่ปลูกจากทั้ง 2 วิธีจะค่อย ๆ ยาว และขึ้น 100% อย่างต่อเนื่อง

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คำถามสำคัญต่อมาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจคือ หากเทียบทั้งวิธีอย่าง DHI vs FUE แล้ว ราคาการรักษาจะแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนบ้าง ? ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว การปลูกผมแบบ DHI จะมีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากต้องใช้ DHI Implanter และประสบการณ์จากแพทย์ แต่อย่างไรก็ดี หากคนไข้มีปัญหาผมบางและศีรษะล้านมากกว่าที่จะใช้ DHI ได้ ในบางกรณีการปลูกผมแบบ FUE ก็อาจมีราคาที่สูงกว่าได้เช่นกัน

ซึ่งหากใครยังไม่แน่ใจว่า FUE กับ DHI ต่างกันยังไง และไม่รู้จะเลือกวิธีปลูกผมแบบไหนดี Bangkok Hair Clinic ขอเทียบความแตกต่างของทั้ง 2 วิธีให้เห็นภาพ ดังนี้

ความแตกต่าง DHI FUE
เหมาะสำหรับใคร ผู้มีปัญหาผมบาง และศีรษะล้านน้อยถึงปานกลาง ผู้มีปัญหาผมบาง และศีรษะล้านมาก
ปลูกผมนานกี่เดือนขึ้น ผมใหม่ขึ้น 100% ในช่วงเวลา 1 – 2 ปี
เครื่องมือที่ใช้ DHI Implanter คีมปลายแหลม หรือ Forceps
ข้อดี
  • แผลเล็ก 0.5 – 0.9 มิลลิเมตร
  • ไม่เสียเวลาพักฟื้น
  • ได้ผมที่เป็นธรรมชาติ
  • ไม่มีรอยแผลเป็น
  • แผลเล็ก 0.7 – 1 มิลลิเมตร
  • พักฟื้นไม่นาน
  • ปลูกผมได้หลายบริเวณ
  • ได้ผมที่เป็นธรรมชาติ
ข้อควรระวัง
  • อาจต้องใช้การรักษาอื่นๆ ควบคู่เพื่อให้เห็นผลลัพธ์สูงสุด
  • รากผมและเซลล์รากผมอาจบอบช้ำจากการใช้คีมปลายแหลมทำให้ผมขึ้นได้น้อย
  • ต้องโกนผมเพื่อเจาะรูที่หนังศีรษะ
  • หากดูแลไม่ดีอาจมีรอยแผลเป็น

การดูแลหลังการปลูกผม FUE กับ DHI

การดูแลหลังการปลูกผมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงหรือปัญหาหลังการรักษา โดยมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้

คำแนะนำทั่วไปหลังการปลูกผม

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาแผล ในบริเวณที่ปลูกผม เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการหลุดร่วงของกราฟต์ที่ปลูก
  • นอนในท่าศีรษะสูง โดยใช้หมอนรองคอเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดบริเวณที่ปลูกผม
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก หรือการอยู่ในสถานที่ที่ร้อนและชื้นในช่วง 2 สัปดาห์แรก

การดูแลเส้นผมและหนังศีรษะหลังการรักษา

  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ยาย้อมผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงที่มีแอลกอฮอล์ ในช่วง 1 เดือนแรก
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เช่น ยาป้องกันผมร่วงและยาบำรุงรากผม
  • เพิ่มสารอาหารบำรุงเส้นผม เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก และไบโอติน เพื่อช่วยให้เส้นผมใหม่แข็งแรงและงอกเร็วขึ้น

หวังว่าข้อมูลที่ Bangkok Hair Clinic นำมาฝากนี้จะช่วยคลายข้อสงสัยและตัดสินใจได้ว่าระหว่าง DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหนดีที่จะตรงกับความต้องการของตัวเองได้ แต่หากใครยังไม่แน่ใจว่าปัญหาผมและหนังศีรษะของตัวเองต้องใช้วิธีไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับปัญหาเส้นผม สามารถปรึกษาแพทย์ฟรีได้ที่ Bangkok Hair Clinic 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการนัดหมายเพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์ ติดต่อเราได้ผ่านช่องทางด้านล่างนี้

เคลียร์ชัด! DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหนดีถึงตอบโจทย์ได้มากกว่า

FAQ

Q: ควรเลือกเทคนิคใดถ้ามีปัญหาผมบาง ?
A:
 หากมีปัญหาผมบางทั่วศีรษะ แต่ยังมีรูขุมขนเหลืออยู่ การปลูกผมด้วยเทคนิค DHI (Direct Hair Implantation) อาจเหมาะสม เนื่องจากสามารถปลูกผมได้อย่างแม่นยำและดูกลมกลืนไปกับผมจริง แต่หากมีปัญหาผมบางรุนแรง หรือมีศีรษะล้านในบางจุด เทคนิค FUE (Follicular Unit Excision) ก็เป็นอีกตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะสามารถปลูกผมในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้มากขึ้น โดยสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมและหนังศีรษะจาก Bangkok Hair Clinic เพื่อประเมินปัญหาและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

Q: เทคนิคไหนเหมาะกับคนที่มีงบประมาณจำกัด ?
A: 
หากมีงบประมาณจำกัด เทคนิค FUE อาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากใช้เครื่องมือที่มีราคาย่อมเยากว่า เช่น Forceps (คีมปลายแหลม) ในการปลูกผม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เทคนิค DHI จะมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากต้องใช้ DHI Implanter ที่ออกแบบมาเฉพาะ แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำในพื้นที่เล็ก ๆ และลดการบอบช้ำของเซลล์รากผม การลงทุนปลูกผมด้วยวิธีนี้ก็อาจคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งนี้ราคาอาจเปลี่ยนไปตามปัญหาหนังศีรษะและเส้นผมของแต่ละคน จึงควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนตัดสินใจ

Q: ผลลัพธ์ของ FUE และ DHI อยู่ได้นานแค่ไหน ?
เส้นผมที่ปลูกด้วยเทคนิค FUE และ DHI สามารถอยู่ได้นานถาวร เนื่องจากใช้เซลล์รากผมจากบริเวณ Donor Area ที่ไม่ถูกกระทบจากฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วงตามกรรมพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับการดูแลหลังการปลูกผม เช่น การรับประทานยาบำรุงเส้นผม การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้รากผมอ่อนแอ รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

lineline messagemessage callcall