อาการศีรษะเถิกกับอาการศีรษะล้านต่างกันอย่างไร
1. ศีรษะเถิก หมายถึง บริเวณที่ผมขึ้นนั้นร่นสูงขึ้นไป อาการศีรษะเถิกนั้นสามารถเกิดได้จากหลากหลายกรณีด้วยกันทั้งที่เกิดมาตั้งแต่เด็กจากพันธุกรรมของแต่ละคน หรืออาจจะเกิดจากการที่ผมร่วงจนศีรษะนั้นร่นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อาการศีรษะเถิกนั้นสามารถพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิงครับและอาการศีรษะเถิกนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอาการศีรษะล้านในอนาคต
2. ศีรษะล้าน คือปัญหาที่ไม่มีใครอยากเจอ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อบุคลิกแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจให้ลดลงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราไม่สามารถป้องกันไม่ให้หัวล้านได้อย่างเด็ดขาด ศีรษะล้านนั้นสามารถเกิดได้หลายสาเหตุเช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุหลักนั้นเกิดจากฮอร์โมนและส่วนมากจะเกิดขึ้นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ศีรษะล้านในเพศชายนั้นแบ่งออกได้ถึง 7 ระดับ ดังนี้
· ระยะที่ 1: ผมหลุดร่วงเล็กน้อย แต่ยังคงมีผมดกตามปกติโดยไม่มีภาวะหน้าผากเถิกกว้าง
· ระยะที่ 2: แนวผมด้านหน้าการถอยร่นเข้าไปเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง
· ระยะที่ 3: ในระยะนี้ อาการหัวล้านจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวผมบริเวณขมับทั้ง 2 ข้างเริ่มเถิกขึ้นไปด้านบนกว้างคล้ายตัว M นอกจากนั้นผมบริเวณกลางกระหม่อมจะเริ่มบางลง เกิดเป็นจุดเล็ก ๆ
· ระยะที่ 4: ผมร่วงมากขึ้น จุดกลางกระหม่อมขยายเป็นวงกว้างขึ้น แต่ยังคงมีเส้นผมคั่นกลางจุดผมด้านบน และแนวผมที่เถิกด้านหน้า
· ระยะที่ 5: คล้ายคลึงกับระยะที่ 4 แต่ทวีความรุนแรงขึ้น ขมับทั้ง 2 ข้างเถิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ช่วงรอยต่อระหว่างแนวผมด้านหน้ากับจุดหัวล้านด้านบนยังบางลงอย่างมาก
· ระยะที่ 6: แนวผมเถิกด้านหน้ากับจุดล้านบริเวณกลางกระหม่อมขยายมาชนกัน
· ระยะที่ 7: ศรีษะล้านเกือบทั้งหมด เหลือเส้นผมเพียงแค่บริเวณด้านข้างเหนือหูและด้านหลังเท่านั้น
ศีรษะล้านในเพศหญิงนั้นแบ่งออกได้ 3 ระดับ ดังนี้
· ระยะที่ 1: ผมเริ่มหลุดร่วงจนบางเล็กน้อย โดยสังเกตได้ชัดเจนที่สุดที่จุดแสกกลางหัว
· ระยะที่ 2: จุดแสกบริเวณกลางศรีษะเริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
· ระยะที่ 3: จุดแสกกลางศรีษะล้านเตียนเป็นวงกลมกว้าง
วิธีการรักษาศีรษะล้านและศีรษะเถิก
1. วิธีรักษาผมร่วงด้วยการใช้ยา
ต้องบอกก่อนว่าวิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมก่อน เพราะยาทั้งสองตัวมีผลข้างเคียงถ้าใช้ผิดวิธีอาจจะเกิดอันตรายได้ การใช้ยารักษาผมร่วงเป็นวิธีที่ผู้ชายนิยมมาก เพราะเนื่องจากอาการผมร่วงของผู้ชายส่วนใหญ่เกิดจากฮอร์โมน DHT ซึ่งยาที่ใช้รักษามีทั้งหมด 2 ตัวด้วยกันคือ “ยาไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride)” สามารถออกฤทธิ์ลดการสร้างฮอร์โมน DHT เพื่อแก้ผมร่วงที่ต้นเหตุได้ส่วนในผู้หญิงจะนิยมใช้ยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil) มากกว่า เนื่องจากยาตัวนี้จะออกฤทธิ์กับระบบเลือด เป็นการแก้ผมร่วงที่สาเหตุโดยทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่ฮอร์โมนตัวเดียวเหมือนไฟแนสเตอรายด์
2. การใช้หัตถการเข้าช่วย
· การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น Platelet Rich Plasma หรือที่เราเรียกกันว่าการฉีด PRP คือการนำเกล็ดเลือดเข้มข้นฉีกเข้าไปบนหนังศีรษะ ไม่เจ็บและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและผลข้างเคียงน้อย โดยวิธีการก็คือเจาะเลือดของผู้ที่จะทำเข้าไปทำกระบวนการเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่เข้มขนจะได้สารอาการที่เส้นผมต้องการและ Growth Factor ที่จำเป็นต่อการสร้างผม และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือด เพื่อให้สารอาหารไปเลี้ยงเส้นผมได้ดีขึ้นนั่นเอง แต่ต้องทำการฉีดโดยแพทย์เท่านั้น
· การทำนวัตกรรมเซลล์บำบัดฟื้นฟูเส้นผม Cell Plus Therapy วิธีการคล้าย ๆ กับการทำ PRP แต่จะแตกต่างตรงที่การทำเซลล์บำบัดจะใช่เซลล์จากบนศีรษะเราที่แข็งแรงเข้าไปสกัดในเครื่องแล้วฉีดกลับเข้าไปนั่นเอง สามารถเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนได้แม้ทำเพียงครั้งเดียว
· การฉายเลเซอร์บำรุงผม (LLLT) หลายท่านคงคุ้นเคยกับการใช้เลเซอร์เพื่อบำรุงรักษาผิวพรรณ แต่รู้หรือไม่ว่า ในปัจจุบันมีเลเซอร์ที่ได้รับการออกแบบให้ช่วยดูแลบำรุงรักษาเส้นผมและหนังศีรษะได้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ Low-Level Laser Therapy (LLLT) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยในการรักษาผมร่วงผมบางจากพันธุกรรม LLLT นี้จะทำการกระตุ้นและฟื้นฟูการทำงานของเซลล์รากผมให้กลับมาแข็งแรงเสมือนเป็นเซลล์ใหม่ และยังช่วยบำรุงสภาพของหนังศีรษะได้อย่างทั่วถึง ล้ำลึกถึงระดับรูขุมขน เพราะอานุภาพการทำงานของเลเซอร์ให้ผลที่แน่นอนกว่าการใช้เซรั่มบำรุงโดยทั่วไป
3. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเส้นผมและหนังศีรษะ
ถ้าหากกังวลหรือทำมาหลายวิธีแล้วไม่ได้ผลแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางจะดีกว่า ถ้าเรารู้ว่าสาเหตุของอาการศีรษะล้านหรือเถิกคืออะไรและรักษาได้อย่างตรงจุดอาจจะต้องปลูกผมหรือทานยาเพื่อรักษาอาการผมร่วงก็จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะถ้าเราเข้ามาปรึกษาช้าเราอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้อีกเลยก็ได้
อาการศีรษะเถิกหรือศีรษะล้านนั้นอาจจะทำให้ความมั่นใจของใครหลายคนนั้นเสียไป ต้องบอกก่อนเลยว่าอาการทั้งสองอย่างนั้นมีความเชื่อมโยงกันเพราะเนื่องจากอาการศีรษะเถิกนั้นเกิดจุดเริ่มต้นของอาการศีรษะล้านในอนาคต ฉะนั้นแล้วเมื่อเราสังเกตุตัวเองว่าเริ่มมีอาการศีรษะเถิกร่นเข้าไปกว่าแต่ก่อนคุณอาจจะเกิดปัญหาศีรษะล้านในเวลาต่อมาได้ เมื่อเกิดความกังวลแล้วควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาและหาทางแก้ได้อย่างถูกวิธี